พรรคอเมริกาของ Musk ส่งสัญญาณบวกหรือลบต่อหุ้น TSLA? 

2025-07-14 | Elon Musk , TSLA , การเมือง , ความเคลื่อนไหวของตลาด , พรรคอเมริกา , เจาะลึกตลาดรายสัปดาห์

อีลอน มัสก์ กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เรื่องจรวดหรือหุ่นยนต์แท็กซี่ แต่เป็นการเปิดตัวขบวนการทางการเมืองของเขาเองในชื่อว่า “พรรคอเมริกา” 

ในมุมแรกอาจดูเหมือนโปรเจกต์ส่วนตัวแปลกๆ ของมหาเศรษฐีอีกชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าสังเกตให้ดี มันอาจกลายเป็นหมากตัวใหม่ที่ส่งผลต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจในอนาคต และอาจเป็นแรงหนุนต่อหุ้น Tesla (TSLA) ในแบบที่นักลงทุน Wall Street หลายคนยังมองไม่เห็น 

แล้วจริงๆ พรรคอเมริกาคืออะไร? และทำไมมัสก์ถึงสร้างมันขึ้นมา? 

พูดง่ายๆ นี่คือคำตอบของอีลอน มัสก์ต่อระบบที่เขามองว่า “ล้มเหลว” พรรคอเมริกาเป็นขบวนการทางการเมืองใหม่ ที่ตั้งใจมาท้าทายระบบการผูกขาดของสองพรรคใหญ่ในสหรัฐฯ มัสก์ระบุว่า พรรคนี้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมเสรีภาพในการพูด เปิดพื้นที่ให้การถกเถียงทางการเมืองกว้างขึ้น และอาจมีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านภาษีและกฎระเบียบที่กระทบต่อธุรกิจของเขาโดยตรง 

ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเกินตัว โค้ดภาษีที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎระเบียบที่ขัดขวางเทคโนโลยีใหม่ๆ มัสก์ต้องการลุกขึ้นมาท้าทายทั้งหมดนี้ และสร้างระบบที่ให้ “ไอเดียที่ดีที่สุด” ชนะ ไม่ใช่ “คนที่วิ่งล็อบบี้เก่งที่สุด” 

แต่มันยังมีอีกชั้นหนึ่ง พรรคอเมริกาดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ตอบโต้ของมัสก์ต่อภัยคุกคามอย่างข้อเสนอของทรัมป์ในการเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากยุโรป ซึ่งอาจกระทบต่อโรงงาน Tesla ในเบอร์ลิน การมีพรรคการเมืองของตัวเอง ทำให้มัสก์ไม่ได้แค่ตั้งรับ แต่รุกกลับเต็มที่ ตั้งเป้าสร้างบทสนทนาใหม่ในสังคม และผลักดันนโยบายที่จะทำให้สหรัฐฯ แข่งขันได้ในเทคโนโลยี พลังงาน และอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง 

พูดให้เข้าใจง่ายๆ: พรรคอเมริกาคือวิธีของมัสก์ในการ “เขียนกติกาใหม่” และคืนอำนาจให้กับคนที่ลงมือสร้างสิ่งใหม่ๆ จริงๆ 

ทำไมพรรคอเมริกาของมัสก์ถึงสำคัญต่อ Tesla? 

คำตอบง่ายๆ คือ มัสก์ไม่ได้แค่พูด แต่เขากำลังใช้พลังทางการเมืองของตัวเองในการผลักดันนโยบายที่ส่งผลโดยตรงต่อ Tesla ตั้งแต่ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่ช่วยให้ซัพพลายเชนทั่วโลกลื่นไหล ไปจนถึงโค้ดภาษีที่สนับสนุนนวัตกรรมจริงจัง แทนที่จะเอื้อให้การล็อบบี้แบบเดิมๆ มัสก์ต้องการระบบที่ให้รางวัลกับ “คนสร้าง” ไม่ใช่ “ดีลลับหลังฉาก” 

ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายของปี 2568 ที่อัตราดอกเบี้ยสูง ความต้องการผู้บริโภคเริ่มชะลอ และการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าดุเดือด การมี CEO ที่กล้าผลักดันนโยบายที่ฉลาดและสนับสนุนเทคโนโลยีอย่างจริงจัง อาจกลายเป็นแต้มต่อสำคัญของบริษัท 

สรุปคือ พรรคอเมริกาอาจกลายเป็นแรงหนุนทางการเมืองที่ Tesla ต้องการเพื่อไปต่อ และนั่นอาจส่งผลบวกต่อราคาหุ้นมากกว่าที่นักลงทุนหลายคนคาดไว้ก็เป็นได้ 

นักลงทุนมักเกิดความลังเลเมื่อมีข่าวการเมืองใหญ่ๆ ความไม่แน่นอนนำไปสู่ราคาที่ผันผวน แต่บางครั้ง ตลาดก็ลืมมองภาพใหญ่ 

แบรนด์ส่วนตัวของมัสก์คือการท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิมๆ สำหรับนักลงทุนรายย่อย (รวมถึงบางสถาบันที่เบื่อหน่ายการเมืององค์กรแบบเดิมๆ) นี่แหละคือเหตุผลที่พวกเขาสนับสนุน Tesla พวกเขามองว่า Tesla คือตัวเลือกที่ “สวนกระแสระบบ” 

นั่นหมายความว่า การเดินเกมการเมืองของมัสก์ อาจยิ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ของ Tesla ในฐานะบริษัทที่กล้าท้าทายโลก และมีผู้นำที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับผลประโยชน์กลุ่มใดโดยง่าย ซึ่งไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์เท่ๆ แต่ยังช่วยรักษาความเชื่อมั่นของกองทัพนักลงทุนรายย่อย ที่เคยช่วยให้ Tesla รอดพ้นจากการถูกเทขายนับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

มีหลายคนที่เคยลอง ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ เคยเกริ่นเรื่องลงสมัครประธานาธิบดีระหว่างที่ยังบริหาร Starbucks อยู่ ขณะที่นักธุรกิจรายใหญ่อื่นๆ เช่น ตระกูล Koch ก็สนับสนุนนโยบายทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่ปฏิกิริยาที่หลากหลายทั้งในสาธารณะและตลาด 

แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ มัสก์อยู่ในลีกของตัวเอง เขาไม่ได้เป็นแค่ CEO ทั่วไป แต่เป็นผู้นำบริษัทที่กำลังเขียนกฎใหม่ในวงการอวกาศ พลังงาน ขนส่ง และ AI ไปพร้อมกัน อิทธิพลของเขาแผ่ไกลเกินกว่าห้องประชุมทั่วไป 

ในขณะที่ผู้บริจาครายใหญ่จากภาคธุรกิจมักเคลื่อนไหวอยู่หลังฉาก มัสก์กลับพูดตรง ชัด และส่งต่อไอเดียของตัวเองสู่สาธารณะอย่างเปิดเผย ซึ่งแนวทางแบบนี้อาจทำให้เขาได้พันธมิตรมากกว่าศัตรูในระยะยาว 

หุ้น TSLA มีสิทธิ์ผันผวนระยะสั้นไหม? แน่นอน เพราะตลาดไม่ชอบตัวแปรใหม่ๆ นักลงทุนบางคนอาจเริ่มกังวลเรื่องการเมืองหรือกฎระเบียบที่เพิ่มเข้ามา 

แต่อย่าลืมว่า เรื่องเล่าอย่างเดียวไม่ได้ทำให้บริษัทดีๆ ล้มลงหรือโตขึ้น ที่สำคัญจริงๆ คือพื้นฐานของธุรกิจ และพื้นฐานของ Tesla ยังแข็งแรง ตั้งแต่จรวดของ SpaceX ดาวเทียม Starlink รถยนต์ไฟฟ้า ความก้าวหน้าเรื่อง AI หุ่นยนต์ Optimus ไปจนถึงรถไร้คนขับ 

สรุปก็คือ เสียงรอบข้างอาจจะดังขึ้น แต่ Tesla ก็ยังเป็น Tesla และมันไม่ง่ายเลยที่จะกล้าสวนทางกับบริษัทที่ทั้งปล่อยจรวดขึ้นฟ้า และกำลังสอนให้รถขับเองได้ 

ถ้ามองย้อนกลับไปดูตัวเลขการส่งมอบของ Tesla อย่างจริงจัง ภาพก็ชัดเจน ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2562 Tesla เพิ่มยอดส่งมอบรายไตรมาสขึ้นถึง 242.68% พร้อมอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่แข็งแกร่งถึง 25.1% 

แม้ช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมาจะมีสะดุดบ้าง แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติของบริษัทที่เติบโตเร็ว ซึ่งต้องฝ่าทั้งความผันผวนของซัพพลายเชนทั่วโลก แรงกดดันด้านดอกเบี้ย และการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ 

แต่มองในมุมภาพรวม แม้จะมีแรงกระแทกระหว่างทาง แต่แนวโน้มระยะยาวก็ยังคงไปในทิศทางขาขึ้น Tesla ยังคงขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้า สร้างโรงงานใหม่ เปิดตัวเทคโนโลยีอย่าง Optimus และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ FSD วางรากฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต 

แม้พรรคอเมริกาของมัสก์อาจสร้างเสียงทางการเมืองเพิ่มขึ้น แต่พื้นฐานของธุรกิจก็ยังคงเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง และนั่นคือสิ่งที่คอยหนุนราคาหุ้น Tesla ไว้ ไม่ว่าเสียงข่าวรอบตัวจะดังแค่ไหน 

พรรคอเมริกาของมัสก์ เป็นผลบวกหรือผลลบต่อหุ้น TSLA กันแน่? 

ถ้ามองแบบผิวเผิน มันอาจเป็นอีกหนึ่งกระแสข่าวที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนรู้สึกลังเล แต่ถ้ามองให้ลึกขึ้น จะเห็นว่านี่อาจเป็นการเดินเกมที่ชาญฉลาด เพื่อแก้ระบบที่มักจะถ่วงนวัตกรรมที่ Tesla ต้องใช้ในการก้าวนำหน้า 

ดังนั้นอย่าเพิ่งละสายตา มัสก์ไม่ได้แค่เรียกร้องความสนใจ เขากำลังพยายามเปลี่ยนกติกาทั้งระบบ และถ้าเขาทำสำเร็จ Tesla อาจกลายเป็นหนึ่งในผู้ชนะตัวจริงของเกมนี้ 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-10-24 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

AMD vs NVDA: ข้อตกลงใหม่กับ OpenAI หมายถึงอะไรสำหรับนักลงทุน 

การแข่งขันในตลาด AI ยิ่งร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจาก OpenAI ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ ราคาหุ้นของ AMD พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบใหม่ ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่า AMD กำลังไล่ทัน Nvidia (NVDA) ในศึกชิป AI มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์แล้วหรือไม่  คำถามสำคัญคือ นี่เป็นเพียงการฟื้นตัวระยะสั้น หรือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอำนาจการแข่งขันของตลาดฮาร์ดแวร์ AI กันแน่  ข้อได้เปรียบลับของ AMD: กลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐาน AI  เมื่อพูดถึง AMD หลายคนอาจนึกถึง CPU และชิปกราฟิกสำหรับเล่นเกม แต่แผนต่อไปของ AMD ก้าวไกลกว่านั้น บริษัทกำลังวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นหัวใจสำคัญของ โครงสร้างพื้นฐาน AI ครอบคลุมตั้งแต่ชั้นวางเซิร์ฟเวอร์ ชิป ไปจนถึงระบบที่ขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลซึ่งรองรับโมเดลอย่าง ChatGPT  จุดศูนย์กลางของกลยุทธ์นี้คือ AMD Helios Platform ระบบ AI ขนาดใหญ่ระดับแร็กที่ออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ Nvidia โดย Helios ผสานรวม ชิป AI ของ AMD ส่วนประกอบเครือข่าย และหน่วยความจำทั้งหมดไว้ในแพ็กเกจเดียว  สิ่งนี้สำคัญอย่างไร เพราะการแข่งขันในยุค AI ไม่ได้อยู่แค่ในตลาด GPU อีกต่อไป แต่คือการแข่งขันของผู้ที่สามารถส่งมอบระบบครบวงจรได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า  ข้อตกลงกับ OpenAI จะเป็นจุดเปลี่ยนของ AMD หรือไม่  เมื่อต้นเดือนตุลาคม มีรายงานว่า AMD ทำข้อตกลงใหม่กับ OpenAI ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแผนพัฒนา AI ของบริษัท OpenAI ผู้อยู่เบื้องหลัง ChatGPT กำลังขยายเครือข่ายซัพพลายเออร์เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia และเพิ่มความมั่นคงด้านอุปทานและต้นทุนให้ดียิ่งขึ้น  สำหรับ AMD นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ การที่ชิปของบริษัทถูกนำไปใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI แสดงถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในโซลูชัน AI Data Center ของ AMD และนักลงทุนก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน   มูลค่าตลาด AI เพิ่มขึ้นกว่า 630 พันล้านดอลลาร์ในชั่วข้ามคืน  หลังจาก OpenAI ประกาศความร่วมมือกับ Broadcom, Oracle, Nvidia และ AMD มูลค่ารวมของตลาดหุ้นในกลุ่ม AI เพิ่มขึ้นกว่า 630 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในวันเดียว สะท้อนให้เห็นถึงพลังของเทรนด์ AI ที่ยังคงร้อนแรงทั่วโลก  ในบรรดาหุ้นทั้งหมด AMD กลายเป็นดาวเด่น โดยราคาพุ่งขึ้นเกือบ 50% ภายในไม่กี่สัปดาห์ ความตื่นเต้นนี้ไม่ได้มาจากกระแสเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “ศักยภาพที่แท้จริง” ของบริษัท  หาก OpenAI ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการ AI ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก เริ่มหันมาใช้ฮาร์ดแวร์ของ AMD นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “สมดุลใหม่” ที่รอคอยมานานในศึก AMD ปะทะ NVDA  AMD vs NVDA: สงคราม AI ครั้งยิ่งใหญ่  สงครามหุ้น AI ระหว่าง AMD และ Nvidia (NVDA) กำลังก้าวเข้าสู่ระดับใหม่อย่างเต็มตัว ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น AMD เพิ่มขึ้นเกือบ 176% แซงหน้าการเติบโตของ Nvidia ที่ 83% ถือเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญสำหรับบริษัทที่เคยถูกมองว่าเป็นผู้ตาม  ในแง่มูลค่าตลาด Nvidia ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วยมูลค่าราว 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับ 650 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ของ AMD แต่ช่องว่างกำลังค่อยๆ แคบลง ขณะที่ Nvidia ยังคงเป็นชื่อหลักในตลาดชิป AI การจับมือระหว่าง AMD และ OpenAI รวมถึงการเปิดตัว Helios Platform ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนว่า AMD มีศักยภาพในการแย่งส่วนแบ่งตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วได้มากขึ้น  หากแรงส่งนี้ยังคงต่อเนื่องไปถึงปี 2025 นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ AMD สามารถท้าทายอำนาจการครองตลาดของ Nvidia ได้อย่างแท้จริงในโลกของฮาร์ดแวร์ AI  AMD จะสามารถท้าทายอำนาจผู้นำตลาด AI ของ Nvidia ได้จริงหรือไม่  พูดตามตรง Nvidia ยังคงครองบัลลังก์ในอาณาจักรชิป AI ด้วย GPU สแต็กซอฟต์แวร์ (CUDA) และระบบนิเวศของนักพัฒนาที่แข็งแกร่ง ทำให้ Nvidia มีความได้เปรียบมหาศาล แต่ตอนนี้ AMD ไม่ได้อยู่ในสถานะ “ผู้ตาม” อีกต่อไป เพราะกำลังเดินเกมในมุมที่ต่างออกไป   ผ่านแพลตฟอร์ม AMD Helios บริษัทมุ่งนำเสนอทางเลือกที่ยืดหยุ่น เปิดกว้าง และคุ้มค่ากว่าระบบแบบปิดของ Nvidia เพื่อสร้างระบบนิเวศ AI ที่เข้าถึงได้มากกว่า พูดอีกอย่างคือ ขณะที่ Nvidia สร้าง “สวนปิด” AMD กำลังสร้าง “สนามเปิด” ที่ผู้ให้บริการคลาวด์และสตาร์ทอัพด้าน AI สามารถปรับแต่งและขยายได้อย่างอิสระ  นั่นเองคือเหตุผลที่ตลาด AI ในปี 2025 อาจมีโฉมหน้าที่แตกต่างไปจากวันนี้อย่างสิ้นเชิง  แนวโน้มตลาด AI ปี 2025 กำลังเป็นรูปเป็นร่าง  นักวิเคราะห์คาดว่าการใช้จ่ายทั่วโลกด้าน โครงสร้างพื้นฐาน AI จะทะลุ 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ชิป เซิร์ฟเวอร์ ระบบเครือข่าย ไปจนถึงโซลูชันแบบครบวงจร และ AMD กำลังมุ่งคว้าส่วนแบ่งที่ใหญ่ขึ้นของตลาดนี้  ชิปรุ่นใหม่ของ AMD AI รวมถึงซีรีส์ MI450 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น การฝึกสอนและการประมวลผลโมเดล เมื่อจับคู่กับโครงสร้าง Helios Platform และพันธมิตรในตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่เพิ่มขึ้น AMD จึงไม่ใช่แค่ “ตัวเลือกสำรอง” อีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญที่พร้อมแข่งขันเต็มตัว  ข้อตกลง AMD-OpenAI ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้น หาก AMD สามารถต่อยอดด้วยการทำสัญญากับผู้ให้บริการ Hyperscaler รายใหญ่ เช่น Amazon, Google หรือ Meta รายได้ของบริษัทอาจพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และกลายเป็นแรงขับเคลื่อนครั้งใหญ่ของยุค AI  การวิเคราะห์ทางเทคนิค: หุ้น AMD กำลังอยู่ในจุดเบรกเอาต์  จากมุมมองทางเทคนิค หุ้น AMD ได้ทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ 180 ดอลลาร์ ขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณการซื้อขายที่แข็งแกร่ง หากโมเมนตัมยังคงต่อเนื่อง การปรับตัวขึ้นอาจทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงสัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า  นักเทรดระยะสั้นอาจจับตาการรีเทสต์แนวต้านที่ 227 ดอลลาร์ และแนวรับจิตวิทยาที่ 200 ดอลลาร์  หากราคาปรับลงต่ำกว่า 180 ดอลลาร์ อาจเกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นบวกในตอนนี้  บทสรุป: ยุคใหม่ของ AMD ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  ความร่วมมือกับ OpenAI อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับ AMD ไม่ใช่แค่ในรอบวัฏจักรของชิปทั่วไป แต่คือการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างเต็มรูปแบบ  ด้วยการขยายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการพัฒนา Helios Platform รวมถึงความแข็งแกร่งในด้าน ศูนย์ข้อมูล AI AMD กำลังวางตำแหน่งตัวเองให้พร้อมรับการเติบโตของตลาด AI ที่กำลังเฟื่องฟูในปี 2025  อย่างไรก็ตาม การแข่งขันยังไม่จบ เพราะ Nvidia ยังคงมีความได้เปรียบในเชิงเทคนิคและการดำเนินงาน ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่า AMD จะสามารถเปลี่ยนโอกาสนี้ให้กลายเป็นการเติบโตระยะยาวได้หรือไม่  แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เรื่องราวของ AMD ได้เข้าสู่บทใหม่แล้ว และนักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด 

article-thumbnail

2025-10-16 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดคริปโตสูญ $19B: สัญญาณการฟื้นตัวครั้งใหญ่เริ่มขึ้นแล้วหรือไม่? 

ตลาดคริปโตเพิ่งเตือนทุกคนอีกครั้งว่า “ความผันผวน” ไม่เคยจากไปไหนจริงๆ มูลค่ากว่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหายไปภายในไม่กี่วัน เมื่อบิตคอยน์ อีเธอเรียม และอัลท์คอยน์ร่วงลงพร้อมกัน เกิดเป็น “การเทขายครั้งใหญ่” ที่ทำให้นักเทรดตื่นตระหนกและความเชื่อมั่นในตลาดดิ่งลง  แต่ที่น่าสนใจคือ ท่ามกลางความตื่นกลัวทั้งหมดนี้ มีสัญญาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่อาจไม่ใช่จุดจบของตลาด แต่อาจเป็นการปูทางไปสู่การกลับตัวครั้งใหญ่รอบใหม่  อะไรเป็นชนวนให้ตลาดคริปโตดิ่งหนัก  การเทขายเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวแบบ “ลดความเสี่ยง” คลาสสิก ผสมกับความกังวลทางเศรษฐกิจมหภาค ข่าวลือเรื่องสภาพคล่องตึงตัว และการปิดสถานะเกินเลเวอเรจอย่างเร่งด่วน  ขณะที่ รัฐบาลสหรัฐยังคงเผชิญภาวะชัตดาวน์ และตลาดเตรียมรับมือกับการลดดอกเบี้ยจากเฟด นักลงทุนเริ่มเร่งลดความเสี่ยงออกจากพอร์ต เมื่อราคาบิตคอยน์หลุดแนวรับสำคัญ จึงเกิดการขายทำลายพอร์ตตามมาอย่างต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 19 พันล้านดอลลาร์ในสถานะเลเวอเรจ ถูกล้างออกภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง  ฝั่งอัลท์คอยน์ได้รับผลกระทบหนักที่สุด หลายเหรียญร่วงกว่า 30–40% ภายในชั่วข้ามคืน อย่างไรก็ตาม ขณะที่นักลงทุนรายย่อยตื่นตระหนก ข้อมูลบนเชนกลับสะท้อนภาพที่ต่างออกไป กลุ่มวาฬหรือผู้ถือรายใหญ่กำลังทยอย “เก็บเหรียญ” เข้าพอร์ตในราคาที่ลดลง  มาโครพบกับโมเมนตัม: ทำไมสิ่งนี้ถึงสมเหตุสมผล  สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคในตอนนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน และนั่นแหละคือช่วงเวลาที่คริปโตมักจะแสดงปฏิกิริยารุนแรงเกินจริง  เงินเฟ้อที่ดื้อรั้น ความคาดหวังอัตราดอกเบี้ยที่หลากหลาย และความตึงเครียดด้านสภาพคล่องทั่วโลก ทำให้นักเทรดยังไม่แน่ใจว่าควรวางกลยุทธ์เพื่อการฟื้นตัว หรือเน้นการป้องกันความเสี่ยงดี โดยทั่วไป […]

article-thumbnail

2025-10-10 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ความกังวลเรื่องรัฐบาลสหรัฐชัตดาวน์และการลดดอกเบี้ย: โลหะเงินจะพุ่งถึง $75 ได้ไหม? 

รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการแล้ว ขณะที่ตลาดกำลังจับตาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตอนนี้ตลาดได้สะท้อนความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยไปแล้ว เงินเฟ้อยังคงทรงตัวในระดับสูง และค่าเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ส่งผลให้โลหะเงินเริ่มกลับมาฟื้นตัว  สภาพคล่องกำลังหลั่งไหลกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น “สูตรมหภาค” แบบเดียวกับที่เคยทำให้เกิดการปรับขึ้นครั้งใหญ่ของราคาโลหะเงินในอดีต แต่ครั้งนี้ กราฟชี้ให้เห็นสัญญาณบางอย่างที่อาจยิ่งใหญ่กว่าเดิม  โลหะเงินจะสามารถทำลายคำสาป 40 ปี และพุ่งทะลุถึง $75 ได้หรือไม่?  ฟังดูเหมือนความฝัน แต่เมื่อปีที่แล้ว ทองคำแตะ $3,000 ซึ่งตอนนั้นก็มีคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  การคาดการณ์ราคาโลหะเงิน ปี 2025  เริ่มจากสิ่งที่เห็นได้ชัด: ราคาของโลหะเงินได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ความต้องการอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น และกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยที่กลับมาอีกครั้ง  จากการคาดการณ์หลายสำนักเกี่ยวกับราคาโลหะเงินในปี 2025 พบว่าตอนนี้ราคากำลังเข้าใกล้ระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 2011 ความแตกต่างในรอบนี้คือ “ภาวะตึงตัวทางเศรษฐกิจมหภาค” ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ “นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น”  เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย ผลตอบแทนพันธบัตรจะลดลง และโลหะมีค่าต่างๆ เช่น โลหะเงิน จะยิ่งโดดเด่นขึ้น เพราะในสภาวะที่อัตราผลตอบแทนต่ำ สินทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ยจะดูน่าดึงดูดยิ่งกว่าเดิม เมื่อรวมกับปัญหาการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยิ่งกลายเป็น “ค็อกเทลของความกลัว สภาพคล่อง และโอกาส” ที่พร้อมขับเคลื่อนตลาด  หากคุณติดตามแนวโน้มราคาของโลหะเงินในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าแรงส่งของตลาดยังคงต่อเนื่อง และทุกครั้งที่มีสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือท่าทีผ่อนคลายจาก Fed ราคาของโลหะเงินก็มักจะขยับขึ้นอีกขั้น  ทองคำ vs โลหะเงิน: เกมระยะยาว  กราฟนี้แสดงให้เห็นว่า ทองคำมีผลงานเหนือกว่าโลหะเงินอย่างมากตั้งแต่ปี 1980 โดยมูลค่าที่ปรับตามดัชนีของทองคำเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่า ขณะที่โลหะเงินยังตามหลังอยู่มาก  แต่หากสังเกตให้ดี ทั้งสองโลหะกำลังแสดงให้เห็นถึง รูปแบบการฟื้นตัวแบบก้นกลม ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกระบุด้วยเส้นโค้งสีเขียวในกราฟ  การฟื้นตัวรอบแรกเกิดขึ้นหลังวิกฤตปี 2011 และรอบที่สอง ซึ่งก็คือช่วงที่เรากำลังอยู่ตอนนี้ มีลักษณะคล้ายกันมาก ทองคำได้ทะยานขึ้นในแนวตั้งไปแล้ว ขณะที่โลหะเงินกำลังสร้างรูปแบบคล้ายกระจกสะท้อน อาจบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวตามมาช้ากว่า  ลูกศรสีม่วงแบบจุดในกราฟ คือแนวโน้มที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจเป็น การเทรดแบบกลับสู่ค่าเฉลี่ย ที่โลหะเงินเริ่มไล่ตามช่องว่างด้านผลตอบแทนที่ยาวนานหลายทศวรรษของทองคำ  หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ราคาโลหะเงินที่ $75 อาจไม่ไกลเกินเอื้อม และอาจเป็น “การล้างแค้น” ที่รอคอยมานานของโลหะเงินก็ได้  การต่อสู้ของโลหะเงินกับกำแพงราคา $50  กราฟนี้เล่าเรื่องของโลหะเงินได้ทั้งหมดในภาพเดียว  รูปแบบชัดเจนว่า โลหะเงินจะสร้างฐานราคาใหญ่ ทดสอบแนวต้านที่ $50 แล้วจะเกิดขึ้นเพียงสองทาง คือร่วงแรง หรือทะลุเข้าสู่ยุคใหม่  การปรับตัวขึ้นในรอบนี้มีปัจจัยที่แตกต่างออกไป ทำให้ฝั่งกระทิงยังคงมีความหวัง:  หากโลหะเงินสามารถทะลุแนวต้านที่ $50 ได้อย่างชัดเจน แรงโมเมนตัมอาจส่งให้ราคาทะยานขึ้นสู่ระดับจิตวิทยาที่ $75 ได้ไม่ยาก ตัวเลขนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม เพราะเป็นการปรับขึ้นประมาณ 50% จากจุดสูงสุดของรอบก่อนหน้า ซึ่งยังอยู่ในกรอบความผันผวนทางประวัติศาสตร์ของตลาด  ปัจจัยจากเฟด: การลดดอกเบี้ยอาจเป็นชนวนสำคัญ  ตลาดในขณะนี้กำลังคาดการณ์ว่าจะมีการ ลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปี 2025 ตามข้อมูลจาก FedWatch สำหรับโลหะเงิน นี่ถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการพุ่งขึ้นของราคา  อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และเนื่องจากโลหะเงินมีการกำหนดราคาด้วยดอลลาร์โดยตรง จึงเป็นแรงหนุนในทันทีต่อทิศทางราคาของโลหะเงิน  ทุกการคาดการณ์ราคาหลักของโลหะเงินตั้งแต่ยุค 1980s แสดงรูปแบบที่คล้ายกัน คือ เมื่อเฟดผ่อนคลายนโยบาย โลหะเงินจะพุ่งขึ้น และเมื่อเฟดเข้มงวด ราคาจะชะลอตัว สำหรับรอบนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงผ่อนคลายอีกครั้ง แต่มีปัจจัยเสริมอย่างภาระหนี้ทั่วโลกที่สูงขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง และความไม่แน่นอนทางการเมือง  นี่ไม่ใช่สภาวะปกติของตลาด แต่คือ พายุสมบูรณ์แบบสำหรับโลหะเงิน  โลหะเงินจะขึ้นถึง $75 ได้จริงหรือไม่?  ราคา $75 ยังไม่การันตี แต่ เป็นไปได้ โลหะเงินเคยแตะเกือบ $50 ในปี 2011 และหากคำนวณตามสัดส่วนของอัตราเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของดอลลาร์ในปัจจุบัน ระดับราคาที่เทียบเท่ากันจะอยู่ราว $70–$80  เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้  หากปัจจัยทั้งหมดนี้สอดคล้องกัน โลหะเงินอาจกลับมาทวงบัลลังก์ในฐานะ “โลหะแห่งประชาชน” ได้อีกครั้ง  เมื่อความกลัวมาพบกับสภาพคล่อง โลหะเงินจะเปล่งประกาย  ท่ามกลางภาวะการปิดหน่วยงานรัฐ การคาดการณ์การลดดอกเบี้ย และการที่โลหะเงินตามหลังทองคำมายาวนาน แนวโน้มของโลหะเงินในปี 2025 ดูร้อนแรงอย่างมาก  มันจะไปถึง $75 ได้หรือไม่ คำตอบขึ้นอยู่กับว่าความตึงเครียดทางเศรษฐกิจนี้จะยืดเยื้อแค่ไหน  แต่อย่างหนึ่งที่แน่นอน ยักษ์ที่หลับใหลอย่างโลหะเงินกำลังจะตื่นขึ้น และเมื่อมันตื่น ตลาดอาจต้องใส่แว่นกันแดดเตรียมรับแสงเจิดจรัสของมันไว้ได้เลย